ในการอภิปรายทางเศรษฐกิจเมื่อเร็วๆ นี้ คำว่า “stagflation” ได้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง ซึ่งจุดประกายให้เกิดการถกเถียงเกี่ยวกับการฟื้นตัวของตลาดที่ผ่านมา แม้ว่ารายงานและข้อมูล GDP จะแสดงถึงสัญญาณ Stagflation นักเศรษฐศาสตร์ยังคงมีความเห็นที่แตกต่างกัน เรามาดูรายละเอียดกันดีกว่าว่าภาวะ Stagflation เกี่ยวข้องกับอะไร รวมถึงข้อมูลในอดีต และผลกระทบต่อเศรษฐกิจและตลาดการเงินในปัจจุบัน
Stagflation คืออะไร?
Stagflation คือปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจที่มีลักษณะการเติบโตที่ซบเซา การว่างงานสูง และมาพร้อมกับอัตราเงินเฟ้อที่สูงด้วย
คำว่า “Stagflation” เป็นคำผสมระหว่าง “การเติบโตของเศรษฐกิจที่ซบเซา (Stagnation)” และ “เงินเฟ้อ (Inflation)” ซึ่งเป็นสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ท้าทายอย่างมาก
การเติบโตของเศรษฐกิจที่ซบเซา (Stagnation): การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ซบเซา ธุรกิจมีอัตราการผลิตที่ลดลง และอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้น ส่งผลให้การใช้จ่ายของผู้บริโภคลดลง
เงินเฟ้อ (Inflation): ราคาสินค้าและบริการสูงขึ้น ทำให้ค่าครองชีพแพงขึ้น
ความท้าทายของ Stagflation
การผสมผสานระหว่างการเติบโตที่ช้าและอัตราเงินเฟ้อที่สูงนี้ทำให้เกิดความท้าทายเฉพาะต่อผู้กำหนดนโยบาย โดยปกติแล้ว นโยบายในการแก้ไขปัญหาจุดหนึ่งอาจทำให้อีกปัญหาแย่ลงได้ ตัวอย่างเช่น การกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อต่อสู้กับอัตราการเติบโตที่ช้าอาจทำให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น ในทางกลับกัน การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้ออาจชะลอการเติบโตของเศรษฐกิจได้
จุดที่น่าสังเกตคือภาวะเงินเฟ้อนั้นสามารถท้าทายโมเดลทางเศรษฐกิจแบบเดิมๆได้ เช่น เส้น Phillips ซึ่งสัมพันธ์กับอัตราการว่างงานที่ลดลงกับค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นในระบบเศรษฐกิจ ตามทฤษฎีคลาสสิก เมื่ออัตราเงินเฟ้อสูง การว่างงานควรที่จะต่ำ สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์แบบผกผันระหว่างอัตราเงินเฟ้อกับการว่างงาน ทำให้ธนาคารกลางจัดการกับปัญหาโดยการปรับอัตราดอกเบี้ย
อย่างไรก็ตาม stagflation ได้ท้าทายตรรกะนี้ ซึ่งนำเสนอสถานการณ์ที่ทั้งอัตราเงินเฟ้อและการว่างงานอยู่ในระดับสูง ทำให้เกิดความขัดแย้งในนโยบาย สิ่งนี้บังคับให้นายธนาคารกลางและผู้กำหนดนโยบายต้องคิดค้นวิธีแก้ปัญหาใหม่เพื่อแก้ไขปัญหา
ต้นกำเนิดของ Stagflation
คำว่า “stagflation” ได้รับการบัญญัติขึ้นครั้งแรกโดยนักการเมืองชาวอังกฤษ เอียน นอร์แมน แมคคลาวด์ ในระหว่างการปราศรัยต่อหน้าสภาสามัญชนในปี 1965 ท่ามกลางความเครียดทางเศรษฐกิจในสหราชอาณาจักร Macleod เรียกผลกระทบที่รวมกันของอัตราเงินเฟ้อและความซบเซาว่าเป็นสถานการณ์ “stagflation” ช่วงเวลาสำคัญนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของภาวะ Stagflation ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจที่นักเศรษฐศาสตร์ทุกๆคนจะต้องรู้จัก
“ตอนนี้เรามีสิ่งที่เลวร้ายที่สุดของทั้งสองโลก ไม่ใช่แค่ภาวะเงินเฟ้อด้านหนึ่งหรือความซบเซาในอีกด้านหนึ่ง แต่ทั้งสองอย่างรวมกัน เราจึงมีสถานการณ์ “stagflation” (รัฐสภาสหราชอาณาจักร ค.ศ. 1965)
เมื่อนักเศรษฐศาสตร์คิดว่าเป็นไปไม่ได้ Stagflation ก็เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในประเทศที่พัฒนาแล้วนับตั้งแต่วิกฤตน้ำมันในทศวรรษ 1970
ตัวอย่างในอดีต
เมื่อลองมองย้อนกลับไปดูช่วงเวลา Stagflation ในอดีต เช่น Stagflation ในช่วงทศวรรษ 1970 ช่วงนั้นเป็นตัวอย่างที่สำคัญของสภาวะ Stagflation โดยมี “3 คลื่น” ที่มองเห็นได้อย่างชัดเจน ซึ่งแต่ละคลื่นมีลักษณะเฉพาะของตัวเอง การวิเคราะห์คลื่นในอดีตเหล่านี้สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกได้ดังที่แสดงในกราฟต่อไปนี้
กราฟได้แสดงให้เห็นถึง ภาวะเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นในช่วงทศวรรษ 1970 เราสังเกตเห็นอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นในแต่ละระลอกของคลื่น ควบคู่ไปกับแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นของอัตราการว่างงานในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สิ่งที่น่าสนใจคือกราฟแสดงให้เห็นถึงความแปรผันของระยะเวลาของคลื่นเหล่านี้ คลื่นลูกแรกมีระยะเวลาประมาณ 2.2 ปี ในขณะที่คลื่นลูกที่สองชะลอตัวลงเป็นช่วงระยะเวลาประมาณ 1 ปี แต่ในทางตรงกันข้าม คลื่นลูกที่สามขยายออกไปเป็น 2.4 ปี
เราใกล้จะพบกับภาวะ Stagflation ในปี 2024 แล้วหรือยัง?
จากการวิเคราะห์คลื่นของเงินเฟ้อและดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐอเมริกา เราพบว่าขณะนี้กำลังใกล้ถึงจุดสิ้นสุดของคลื่นเงินเฟ้อระลอกแรกแล้ว นี่เป็นการส่งสัญญาณถึงการเคลื่อนไหวต่อไป โดยมีความกังวลเกี่ยวกับการมาของระลอกสองที่อาจเกิดขึ้นได้
ปัจจุบันบรรยากาศทางเศรษฐกิจยังไม่ชัดเจน แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่องและการเติบโตที่ชะลอตัว แต่ประธานธนาคารกลางสหรัฐ นายเจอโรม พาวเวลล์ ก็ได้มองข้ามความกังวลเรื่องภาวะ Stagflation แม้จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่เท่าเดิมก็ตาม
เขาเปรียบเทียบสถานการณ์ปัจจุบันซึ่งมีอัตราการว่างงานและอัตราเงินเฟ้อต่ำกว่า 4% กับภาวะ Stagflation แบบคลาสสิกในทศวรรษ 1970 “ผมไม่เห็นโอกาสของ Stagflation” เขาได้กล่าวไว้
นักเศรษฐศาสตร์หลายคนเชื่อความคิดนี้ ซึ่งเน้นไปที่การใช้จ่ายของผู้บริโภคที่กำลังฟื้นตัวและข้อมูลที่บ่งชี้ว่าอัตราเงินเฟ้อจะค่อยๆ อ่อนตัวลง โดยเน้นถึงความแตกต่างระหว่างสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจในปัจจุบันและทศวรรษ 1970 เพราะมีสาเหตุมาจากภาวะราคาน้ำมันตกต่ำ สหภาพแรงงานที่เข้มแข็ง และมาตรการการควบคุมราคาที่ถูกยกเลิก
การวิเคราะห์จาก Bank of America
เพื่อสนับสนุนมุมมองนี้ นักวิเคราะห์ของ Bank of America ยืนยันว่าข้อมูลล่าสุดไม่ควรตีความว่าเป็นภาวะ Stagflation พวกเขาชี้ให้เห็นว่าการเติบโตของ GDP ที่ต่ำกว่าที่คาดอาจเกิดจากปัจจัยทางด้านบัญชี ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อ PCE ที่ออกมาแข็งแกร่งสะท้อนถึงการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ฟื้นตัว โดยพื้นฐานแล้ว พวกเขาเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้เป็นประเด็นที่แยกจากกัน ไม่จำเป็นต้องบ่งบอกถึงภาวะ Stagflation
ผลกระทบของ Stagflation ต่อประเภทสินทรัพย์
ในขณะที่การถกเถียงเรื่องความเป็นไปได้ที่จะเกิดภาวะ Stagflation ยังคงดำเนินต่อไป ก่อนอื่นเรามาเจาะลึกว่าช่วง Stagflation ในอดีต เช่น ทศวรรษ 1970 ส่งผลกระทบต่อสินทรัพย์ประเภทต่างๆ อย่างไร โดยเฉพาะทองคำ น้ำมัน ดอลลาร์สหรัฐ และหุ้น
ข้อมูลนี้จะทำหน้าที่เป็นข้อมูลเชิงลึกที่เกี่ยวกับแนวโน้มและกลยุทธ์ที่อาจจะสามารถใช้ได้ในอนาคต
น้ำมัน: ตลาดที่ผันผวน
ในช่วงภาวะ Stagflation ในทศวรรษ 1970 ราคาน้ำมันมีความผันผวนอย่างมาก โดยพุ่งสูงขึ้นกว่า 1,000% วิกฤตการณ์น้ำมันในปี 1973 เกิดจากการที่โอเปกสั่งห้ามการผลิตและส่งออกน้ำมันอย่างจำกัดจากประเทศกลุ่มโอเปก ทำให้เกิดภาวะ Supply shock อย่างมีนัยสำคัญ และเป็นผลให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว การขึ้นของราคาอย่างรวดเร็วนี้ยังคงมีอยู่ โดยถทำจุดสูงสุดระหว่างปี 1980 ถึง 1981 ซึ่งทำให้เกิดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อทั่วโลก
ทองคำ: สินทรัพย์หลบภัยท่ามกลางความไม่แน่นอน
ทองคำกลายเป็นแหล่งหลบภัยในยุคเงินเฟ้อ ซึ่งช่วยให้นักลงทุนได้รับความปลอดภัยจากทั้งภาวะเงินเฟ้อและการลดค่าเงิน ตั้งแต่ปี 1971 ถึง 1980 ราคาทองคำพุ่งสูงขึ้นกว่า 2,000% ซึ่งสะท้อนถึงสถานะของทองคำที่เป็นแหล่งสะสมมูลค่าที่เชื่อถือได้ในช่วงที่เกิดความวุ่นวายทางเศรษฐกิจ
ดอลลาร์สหรัฐ: ความเสื่อมในมูลค่า
ตรงกันข้ามกับทองคำ เงินดอลลาร์สหรัฐมีการอ่อนค่าลงอย่างมากในช่วงภาวะ Stagflation ในช่วงทศวรรษ 1970 ถึงต้นทศวรรษ 1980 ดัชนีดอลลาร์สหรัฐสูญเสียมูลค่าไปมากกว่า 30% สะท้อนถึงแรงซื้อที่ลดลงท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อที่ลุกลามและความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ
หุ้น: ไม่มีทิศทางที่ชัดเจน
ผลประกอบการของตลาดหุ้นในช่วงปี 1970 อยู่ในช่วงภาวะ Stagflation โดยรวมแล้ว หุ้นมีการเติบโตที่ซบเซาเพราะไม่มีแนวโน้มทิศทางที่ชัดเจน การรวมกันของอัตราเงินเฟ้อที่สูงและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจได้บั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุน ส่งผลให้เกิดภาวะซบเซาในตลาดหุ้น
การลงทุนในสภาวะ Stagflation
การทำความเข้าใจว่าสินทรัพย์ประเภทต่างๆ มีพฤติกรรมอย่างไรในช่วงที่เกิดภาวะ Stagflation ในอดีตสามารถให้คำแนะนำที่สำคัญต่อกลยุทธ์การลงทุนของคุณได้ อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่าประสิทธิภาพในอดีตไม่ได้รับประกันผลลัพธ์ในอนาคต ก่อนตัดสินใจลงทุน ควรหาข้อมูลอย่างละเอียด ประเมินความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และขอคำแนะนำจากที่ปรึกษาทางการเงิน
การเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง
การซื้อขายเครื่องมือทางการเงินมีความเสี่ยงสูง เนื่องจากความผันผวนของมูลค่าและราคาของเครื่องมือทางการเงิน เนื่องจากความเคลื่อนไหวทางการตลาดที่ไม่พึงประสงค์และคาดการณ์ไม่ได้ ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสียหายแก่นักลงทุนในระยะเวลาที่รวดเร็วได้ ผลการลงทุนในอดีตไม่สามารถชี้วัดความสำเร็จหรือผลกำไรในการลงทุนได้ การลงทุนด้านนี้เกี่ยวข้องกับมาร์จินและเลเวอเรจ ซึ่งการลงทุนจำนวนเล็กน้อยอาจส่งผลประทบมากได้ ดังนั้น นักลงทุนควรเตรียมรับความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการซื้อขาย
โปรดอ่านและทำความเข้าใจความเสี่ยงของการซื้อขายเครื่องมือทางการเงินอย่างถี่ถ้วนก่อนที่จะทำธุรกรรมกับ Doo Prime หากมีข้อสงสัยในการลงทุน ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สามารถดูได้ที่ข้อมูลข้อตกลงการทำธุรกรรมและการเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง
ข้อความปฏิเสธการรับผิดชอบตามกฎหมาย
ข้อมูลนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปแก่สาธารณะเท่านั้น ข้อมูลไม่ควรถูกตีความเป็นคำปรึกษาทางด้านการลงทุน คำแนะนำ ข้อเสนอ หรือคำเชิญชวนเพื่อซื้อหรือขายเครื่องมือทางการเงินใด ๆ ข้อมูลที่นำเสนอในบทความนี้จัดทำขึ้นโดยโดยไม่มีการอ้างอิงหรือพิจารณาถึงจุดประสงค์การลงทุนหรือสถานะทางการเงินของผู้ใดผู้หนึ่งแต่อย่างใด การอ้างอิงถึงประสิทธิภาพของเครื่องมือทางการเงินในอดีต เครื่องมือทางการดัชนี หรือผลิตภัณฑ์การลงทุนไม่ใช่ตัวบ่งชี้ที่เชื่อถือได้สำหรับผลลัพธ์ในอนาคต Doo Prime ไม่รับรองและรับประกันข้อมูล และไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียหรือความเสียหายทั้งทางตรงและทางอ้อมอันเป็นผลมาจากความไม่ถูกต้องหรือความไม่สมบูรณ์ของข้อมูล Doo Prime ไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียหรือความเสียหายที่เป็นผลมาจากความเสี่ยงการซื้อขาย กำไร หรือขาดทุนทั้งทางตรงและทางอ้อมที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนส่วนบุคคล